วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

ประติมากรรมรัตนโกสินทร์

      สำหรับพระพุทธรูปในรัชกาลที่ ๑ เนื่องจากต้องย้ายเมืองหลวงจากธนบุรีมากรุงเทพฯ จึงมิใคร่จะได้ทรงสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ จึงทรงพระราชศรัทธาให้เชิญพระพุทธรูปสัมฤทธิ์โบราณซึ่งทิ้งทรุดโทรมอยู่ที่เมืองเหนือลงมาบูรณะปฏิสังขรณ์ถึง ๑,๒๐๐ องค์เศษ ด้วยเหตุนี้พระพุทธรูปที่เป็นพระประธานอยู่ในวัดสำคัญๆ ในกรุงเทพฯ และกรุงธนบุรี จึงมักเป็นการนำพระเก่าสมัยก่อนๆซึ่งเชิญมาจากที่อื่นและนำมาบูรณะอีกที ส่วนใหญ่เป็นแบบสุโขทัย แต่ที่เป็นแบบอยุธยาก็มีบ้าง นำไปประดิษฐานเป็นพระระเบียงตามอารามต่างๆ เช่นที่วัดโพธิ์หรือวัดพระเชตุพนฯ มีบางองค์ใช้ปูนปั้นพอกทับโลหะให้มีรูปแบบเป็นพระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์ อาจเพื่อป้องกันองค์พระจากพม่าข้าศึกหรือป้องกันบุคคลอื่นไม่ให้ทราบว่าเป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ก็เป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น พระสุโขทัยไตรมิตร


     ด้วยเหตุนี้ทำให้พระพุทธรูปที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ มีน้อย เป็นต้นว่า พระประธานในพระวิหารและพระอุโบสถวัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ


     เป็นพระปูนปั้น ลักษณะก็คล้ายกับพระพุทธรูปสมัยอยุธยา หรือพระคันธารราฐปางขอฝนซึ่งโปรดฯ ให้หล่อขึ้นใหม่เนื่องในพิธีพืชมงคล ก็มีลักษณะการครองจีวรคล้ายแบบจีน พระหัตถ์ขวากวักเรียกเมล็ดฝน พระหัตถ์ซ้ายรองรับเมล็ดฝน


     มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าพระพุทธรูปเหล่านี้มีลักษณะความมีชีวิตจิตใจยิ่งลดน้อยลงไปกว่าสมัยอยุธยา โดยสังเกตจากสีหน้า ที่เรียกกันว่าหน้าหุ่นเพราะพระพักต์นิ่งเฉยเหมือนหุ่นโขน
     พระพุทธรูปที่สร้างครั้งรัชกาลที่ ๒ และ ๓ ก็เป็นเช่นเดียวกัน คือมุ่งเน้นความสวยงามทางลวดลายเครื่องประดับมากกว่าสีพระพักตร์ของพระพุทธรูป ดังอาจเห็นได้จากพระพุทธรูปพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก


     และพระพุทธเลิศหล้านภาลัยในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นพระพุทธรูปยืนสัมฤทธิ์ทรงเครื่องขนาดใหญ่หุ้มทองคำ ๒ องค์สีหน้าเรียบเฉยแบบหน้าหุ่นเช่นกัน หล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ เพื่อป้องกันไม่ให้ราษฎรเรียกสมัยรัชกาลที่ ๑ ว่าแผ่นดินต้นและรัชกาลที่ ๒ ว่าแผ่นดินกลาง เพราะจะเป็นอัปมงคลแก่พระราชวงศ์ นอกจากนี้ในสมัยรัชกาลที่ ๓ โปรดฯ ให้กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส เมื่อยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ค้นคว้าคัมภีร์ทางศาสนาเพื่อคัดเลือกพุทธอิริยาบถปางต่างๆ เพิ่มเติมขึ้น นับรวมกับแบบเดิมเป็น ๔๐ ปาง แล้วทรงสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ ตามระเบียบนั้น พระพุทธรูปเหล่านี้ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในหอราชกรมานุสรณ์และหอราชพงศานุสรณ์ หลังพระอุโบสถในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่ออุทิศถวายแด่พระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์
     ในสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ นั้นมีการเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปวัฒนธรรมหลายๆอย่างเช่นรูปแบบทางด้านประติมากรรม จิตรกรรม สถาปัตยกรรมรวมถึงความเชื่อทางศาสนาในรัชกาลที่ ๔ มีพระราชนิยมศิลปะแบบ Realistic ซึ่งคงได้รับอิทธิพลแนวคิดมาจากตะวันตก จึงทรงคิดแบบอย่างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ แก้ไขพุทธลักษณะให้คล้ายมนุษย์สามัญยิ่งขึ้น คือไม่มีพระเกตุมาลาหรือเมาลี และให้มีจีวรเป็นริ้วคล้ายผ้าจริง พระวรกายคล้ายมนุษย์ปกติ ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ เป็นต้นว่า พระนิรันตราย

     แต่พระพุทธรูปแบบนี้ก็ไม่เป็นที่นิยมกันนานนัก ถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ จนถึงรัชกาลที่ ๖ ซึ่งมีการติดต่อกับต่างประเทศกว้างขวาง แม้จะทรงนิยมกระพุทธรูปแนวสมจริงแบบตะวันตกอยู่แต่ก็ยังอิงรูปแบบโบราณอยู่บางประการ เช่น พระพุทธรูปก็กลับมีพระเกตุมาลาใหม่ แต่แนวคิดเรื่องการสร้างพระพุทธรูปให้เหมือนมนุษย์กลับมีมากยิ่งขึ้น คือ พยายามเลียนแบบพระพุทธรูปคันธารราฐของอินเดียซึ่งมีลักษณะเหมือนมนุษย์จริงๆ ดังอาจเห็นได้จาก พระพุทธรูปปางขอฝนซึ่งหล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕


     และพระไสยาที่วัดราชาธิวาส แต่ในสมัยนี้บางครั้งก็หันไปจำลองพระพุทธรูปไทยแบบโบราณ เช่นของ เชียงแสน สุโขทัย เป็นต้น เนื่องจากเป็นที่นิยมและศรัทธาต่อคนทั่วไปเสมอมา เป็นต้นว่า พระพุทธชินราชจำลอง ซึ่งเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร
     และนับแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา ก็มีการแก้ไขลักษณะพระพุทธรูปให้เหมือนสามัญชนยิ่งขึ้นทุกที แต่ยังคงรักษาพระพุทธลักษณะที่สำคัญบางประการไว้ เป็นต้นว่าพระรัศมีเป็นเปลว พระเกตุมาลา พระเกศาที่ขมวดเป็นปม ใบพระกรรณยาวและเครื่องทรงคือจีวรเป็นต้น ทั้งนี้ อาจเห็นได้จากพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ซึ่งคิดประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐


     ซึ่งเป็นต้นแบบของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่พุทธมณฑล อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม เป็นต้น ยิ่งในปัจจุบันบางครั้งก็สร้างสรรค์พระพุทธรูปที่มีรูปร่างลักษณะอิริยาบถอันแปลกๆออกมา เช่น พระพุทธรูปเหยียบโลกซึ่งมีอิริยาบทอันพิสดารหรือพระพุทธรูปของวัดธรรมกายซึ่งมีรูปแบบแตกต่างไปจากของโบราณโดยสิ้นเชิง เป็นต้น ซึ่งงานศิลปกรรมเหล่านี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและวิธีคิดของคนร่วมยุคสมัยนั้นด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น